เกษตรกร-ผู้ประกอบการผวาปรับ “สนธิรัตน์” พ้นพลังงาน ทำโรงไฟฟ้าชุมชน ปาล์มน้ำมันสะดุด


กระแสการปรับ ครม. เริ่มกระเพื่อมแรงขึ้นทุกขณะ ทำให้เกษตรกรและผู้ประกอบการเช็คข่าวกันวุ่น ผวาโรงไฟฟ้าชุมชนเพื่อแก้ความยากจนชาวบ้านล้มไม่เป็นท่า เกษตรกรประสานเสียงหนุนให้ทำงานต่อ เหตุเข้าใจปัญหา คุยกันรู้เรื่องตรงกับความต้องการ หวังดันราคาปาล์มสูงขึ้นทำให้ชาวสวนลืมตาอ้าปากได้ เกาะติดนับ 10 โครงการพลังงานเพื่อทุกคนเดินหน้าสู่เป้าหมาย
ทันที่ที่นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ ได้เข้ามานั่งเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้ประกาศนโยบายที่ “Energy For All พลังงานเพื่อทุกคน” ซึ่งเป็นนโยบายที่ตอบโจทย์คนไทยทุกคน สามารถยกระดับเศรษฐกิจฐานราก ด้วยการขับเคลื่อนนับ 10 โครงการให้เกิดเป็นรูปธรรมอย่างรวดเร็วในช่วงที่ผ่านมา ที่เป็นรูปธรรมประชาชนสัมผัสได้ในช่วงที่ “นายสนธิรัตน์” นั่งตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้ตระหนักถึงภาระของประชาชนในช่วงที่เศรษฐกิจชะลอตัว โดยไม่ให้มีการปรับขึ้นค่าไฟฟ้าแต่อย่างใด มิหนำซ้ำยังได้แบ่งเบาภาระประชาชนด้วยการลดราคาน้ำมันเป็นทางเลือกให้กับประชาชนด้วยการไฟเขียวให้ปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ในกลุ่มน้ำมันดีเซล ทำให้ส่วนต่างราคาขายปลีกระหว่างน้ำมันดีเซล B10 ถูกว่าน้ำมันดีเซล B7 อยู่ที่ 3 บาทต่อลิตร จากเดิมอยู่ที่ 2 บาทต่อลิตร และน้ำมันดีเซล B20 จะถูกกว่าน้ำมันดีเซล B7 อยู่ที่ 3.50 บาทต่อลิตร จากเดิม 3 บาทต่อลิตร มีผลตั้งแต่วันที่ 28 ก.พ. ที่ผ่านมา เป็นนโยบายต่อเนื่องจากการส่งเสริมการใช้ B10 ได้ประกาศทั่วประเทศเป็นน้ำมันดีเซลเกรดมาตรฐาน และมี B20 ที่ใช้สำหรับรถบรรทุกขนาดใหญ่ เมื่อวันที่ 1 ม.ค.63 และกำหนดให้ทุกปั๊มทั่วประเทศจำหน่าย B10 เมื่อวันที่ 1 มี.ค.ที่ผ่านมา


การส่งเสริม B10 อย่างจริงจังและต่อเนื่องทำให้ราคาปาล์มน้ำมันที่ตกต่ำที่สุดเหลือ 2-3 บาทต่อกิโลกรัม ได้ขยับสูงขึ้นถึง 7-8 บาทต่อกิโลกรัมอย่างที่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ทำให้เกษตรกรชาวสวนปาล์มลืมตาอ้าปากได้ในรอบหลายๆ ปีที่ผ่านมา และยังช่วยลดฝุ่น PM 2.5 ที่ประเทศไทยกำลังประสบปัญหาอย่างหนักหน่วงด้วย

นอกจากนี้ ยังได้ใช้โมเดลกันนี้ขยายออกไปด้วยการส่งเสริมการใช้น้ำมัน E20 เพื่อแก้ปัญหาราคาอ้อย มันสำปะหลังที่ราคากำลังตกต่ำด้วย

นโยบายโรงไฟฟ้าชุมชน 700 เมกะวัตต์ถือว่าเป็นนโยบายที่โดนใจชาวบ้านมากที่สุด เพราะชุมชนมีความหวังว่าจะสามารถสร้างรายได้ สร้างอาชีพ แก้ปัญหาความยากจนให้กับชุมชนทั่วประเทศได้ จึงมีเสียงตอบรับอย่างล้นหลามของชุมชนและเกษตรกร ซึ่งผลสำเร็จนี้มาจากกระทรวงพลังงานได้กำหนดโมเดลเพื่อแก้ปัญหาความยากจนของชุมชนรอบโรงไฟฟ้าจะไปก่อสร้าง คาดว่าจะมีเงินลงทุน 7-8 หมื่นล้านบาทลงไปกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากและชุมชนยังจะมีรายได้จากส่วนแบ่งจาการขายไฟฟ้า และการขายวัตถุดิบป้อนโรงไฟฟ้าด้วย ตามกำหนดถ้าไม่มีการปรับครม. จะมีการเปิดให้ผู้สนใจยื่นเสนอให้มีการคัดเลือกภายในเดือนมีนาคม 2563 นี้

นโยบายสถานีพลังงานชุมชนกำลังจะเดินเครื่องในพื้นที่ที่มีศักยภาพทั่วประเทศ โดยใช้โมเดลการพัฒนาชุมชนของ จ.กาญจนบุรี ซึ่งจะถูกนำไปขยายเป็นสถานีพลังงานชุมชนแบบครบวงจรที่สามารถนำพลังงานจากแสงอาทิตย์ ชีวมวล ขยะ และเชื้อเพลิงฟอสซิลมาบริหารจัดการในกิจกรรมต่างๆ เพื่อลดรายจ่ายด้านพลังงานและสร้างรายได้ต่อยอดอาชีพของชุมชน ซึ่งตอนนี้ได้เปิดให้วิสาหกิจชุมชนทั่วไประเทศยื่นเสนอโครงการของบสนับสนุนจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานแล้ว เช่นเดียวกับโครงการสูบน้ำพลังงานแสงอาทิตย์เพื่อการเกษตรในการลดผลกระทบปัญหาภัยแล้ง ถือเป็นอีกโครงการที่จะช่วยรับมือภัยแล้งให้กับเกษตรกร โดยได้รับการสนับสนุนจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน วงเงิน 10,000 ล้านบาท ในปี 2563
ยังมีอีกหลายโครงการที่กำลังถูกขับเคลื่อนภายใต้นโยบาย Energy for All ที่กำลังเดินหน้าไม่ว่าจะเป็นการยกระดับคุณภาพชีวิตทั้งพื้นที่บริเวณชายขอบ ชายแดน ซึ่งเป็นพื้นที่ปลายสายส่งที่เกิดไฟตกไฟดับ จำเป็นต้องแก้ปัญหาอีกจำนวนมาก ซึ่งกระทรวงพลังงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้จัดทำแผนงานสนับสนุนงบประมาณผ่านกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานเพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิตให้ทุกพื้นที่ได้มีไฟฟ้าใช้อย่างทั่วถึง

เช่นเดียวกับการส่งเสริมการสนับสนุนยานยนต์ไฟฟ้า (EV) อย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งได้ร่วมหารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อส่งเสริมภาพรวมให้เกิดการใช้ EV อย่างเป็นรูปธรรม

นายผจญ ศรีบุญเรือง นายกสมาคมการค้าก๊าซชีวภาพไทย เปิดเผยว่า โรงไฟฟ้าชุมชนภายใต้การนำของนายสนธิรัตน์ กำลังเดินมาถูกทางและใกล้จะสำเร็จแล้ว เพราะได้ผู้มีความรู้ความเข้าใจมาขับเคลื่อนนโยบาย แต่ถ้ามีการปรับ ครม. แล้วท่านไม่ได้อยู่ในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานต่อไป ตนคิดว่าโรงไฟฟ้าชุมชนไม่เกิดขึ้นแน่นอน เพราะคนมาใหม่คงไม่เข้าใจการทำงานกับชุมชน ซึ่งแตกต่างจากรัฐมนตรีว่าการกระทารวงพลังงานคนปัจจุบันที่ได้คลุกคลีทำงานกับมวลชนมาอย่างยาวนานมาก

ด้านนางสาวจุติมา เจือโว้น ตัวแทนสมาคมชาวสวนปาล์มน้ำมัน จ.ตรัง กล่าวว่า ขณะนี้ราคาปาล์มน้ำมันยังปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องมาอยู่ที่ 5.40 บาทต่อกิโลกรัม เพิ่มขึ้นจากเดือน ก.พ. ขายอยู่ที่ 4.40 บาทต่อกิโลกรัม นับเป็นข่าวดีของเกษตรกรชาวสวนปาล์มที่ราคาปาล์มสูงขึ้นแม้จะอยู่ในช่วงที่ผลผลิตออกสู่ตลาด ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ที่ในอดีตราคาจะตกต่ำมากเมื่อถึงฤดูผลผลิตออกสู่ตลาด “พอได้ข่าวว่าท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานจะถูกปรับออกจากตำแหน่ง เราก็กังวลว่าราคาปาล์มน้ำมันจะตกต่ำเหมือนที่ผ่านมา ถามใจจริงๆ ไม่อยากให้ท่านไป เพราะท่านได้เข้าใจเกษตรกร สามารถแก้ปัญหาได้ถูกทางตามที่เราต้องการ ทุกอย่างที่ท่านออกเป็นนโยบายมาสามารถแก้ปัญหาราคาปาล์มได้ถูกต้องหมดเลย”

ส่วนทางชุมชนชายแดนภาคใต้ก็ห่วงใยโครงการโรงไฟฟ้าจะหยุดชะงัก โดยนายมะแอ สะอะ ประธานกลุ่มรัฐวิสาหกิจชุมชนศิริมงคลปัตตานี บ้านท่าน้ำ ตำบลท่าน้ำ อ.ปะนาเระ จังหวัดปัตตานี กล่าวว่า ทางกลุ่มวิสาหกิจชุมชนฯ ได้ลงนามความร่วมมือ MOU กับภาคเอกชนเตรียมยื่นเสนอโรงไฟฟ้าชุมชน ขนาด 3 เมกะวัตต์ ในพื้นที่ตำบลท่าน้ำแล้ว ถ้ามีการปรับครม. ก็ยังอยากให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน คนเดิมทำงานต่อไป เพื่อให้ประชาชนจะได้มีส่วนร่วมในการเข้าไปลงทุนโรงไฟฟ้า 10% และสามารถสร้างรายได้ สร้างอาชีพ แก้ปัญหาความยากจนให้กับชุมชน ถ้าประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นก็จะสามารถแก้ปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ได้

ขณะที่ทางภาคอีสานนางสาวสุจารี ธนสิริธนากร ประธานวิสาหกิจชุมชนปันบุญ “บ้านดอนแคน” ต.ฆ้องชัยพัฒนา อ.ฆ้องชัย จ.กาฬสินธุ์ ได้กล่าวว่า ทางกลุ่มวิสาหกิจชุมชนได้ปลูกพืชผักอินทรีย์แบบครบวงจร และต้องการขยายปริมาณการปลูกผักให้เพียงพอกับความต้องการตลาด แต่ประสบปัญหาต้นทุนจากการขุดเจาะน้ำบาดาลเพื่อสูบน้ำขึ้นมารดผัก จึงได้ของบโครงการระบบสูบน้ำพลังงานแสงอาทิตย์เพื่อการเกษตร จากกองทุนส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน หลังเคยที่เคยนำเสนอโครงการนี้ต่อท่านสนธิรัตน์ ตอนมาลงพื้นที่ตรวจราชการที่จังหวัดขอนแก่น ซึ่งก็ได้รับการสนับสนุนจากท่านอย่างเต็มที่ อย่างไรก็ตาม เมื่อมีการปรับ ครม. ถ้าท่านไม่อยู่ผลักดันโครงการสูบน้ำพลังงานแสงอาทิตย์เพื่อช่วยเหลือเกษตรก็คิดว่าโครงการไม่น่าจะได้รับการสนับสนุน จึงอยากจะให้ท่านอยู่ในตำแหน่งนี้จะได้ช่วยเหลือเกษตรกรต่อไป

นโยบาย Energy For All พลังงานเพื่อทุกคน เดินมาถูกทางแล้ว แถมคนขับเคลื่อนได้ผลักดันผลงานให้เห็นเป็นรูปธรรมชัดเจน ผู้ประกอบการต่างเกิดความเชื่อมั่นและเกษตรกรได้รับการแก้ปัญหาจนลืมตาอ้าปากได้ ถ้าไม่ได้ไปต่อหลังปรับ ครม.ผลเสียตกอยู่ที่ประชาชนตาดำๆ อย่างหลีกเสี่ยงไม่ได้
...

ข่าวกระบี่